ขยี้ตา หมอตาเล่าถึงความน่ากลัวของมันน้อยเกินไป
อ่านสั้นๆ ขี้เกียจอ่านยาว
สาเหตุที่คนขยี้ตา เพราะคัน ระคายเคือง หรือทำแล้วรู้สึกสบาย ซึ่งโรคตาที่กระตุ้นให้เกิดอาการเหล่านี้ที่พบบ่อยได้แก่ภูมิแพ้เยื่อตา ตาแห้ง เปลือกตาอักเสบ หรือในบางคนเป็นแค่ความชอบที่จะทำ นอกจากการขยี้ตาแล้ว ท่านอนคว่ำหรือตะแคงแล้วเอาหน้ากดหมอน ส่งผลคล้ายการขยี้ตาได้
ผลเสียของการขยี้ตาต่อเนื่องที่รุนแรง ไม่หายเอง คือเป็นการโรคกระจกตาโก่ง (keratoconus) แม้จะรักษาได้ แต่มีเพิ่มความยุ่งยาก ต้องใส่คอนแทคเลนส์ หรือผ่าตัด สู้ไม่เป็นดีกว่า
อ่านแบบเข้าใจละเอียด ต่อทางนี้
เชื่อว่าหลายคนชอบขยี้ตา ทำมาตั้งแต่เด็ก ติดมาจนโต ถามว่าทำไมคนเราถึงอยากขยี้ตา
1. เหตุผลของการขยี้ตา (สาเหตุที่น่าจะเป็น)
- รู้สึกคัน (ภูมิแพ้เยื่อตา)
- รู้สึกเคือง (irritant มีสิ่งระคายเคืองเข้ามาสัมผัส)
- รู้สึกไม่สบายตา (ตาแห้ง)
- รู้สึกเหนื่อยหรือ ล้า อยากพักตา (digital eye strain/ asthenopia)
- รู้สึกดี (เป็นพฤติกรรม)
ขยายความข้อสุดท้ายหน่อยว่า -> ทำไมขยี้ตาถึงรู้สึกดี
- การขยี้ตากระตุ้นให้น้ำตาไหลออกมา (reflex tear) ทำให้อาการตาแห้งดีขึ้น
- ความรู้สึกผ่อนคลาย เพราะแรงกดที่ลูกตาไปกระตุ้นเส้นประสาท vagus ทำให้หัวใจเต้นช้าลง ผ่อนคลาย ระบบประสาทพาราซิมพาเธติกทำงาน สบายตา สบายตัว
นี่ละมั้ง ทำให้คนชอบเผลอขยี้ตาบ่อยๆ
2. มีวิธีขยี้ตากี่แบบ
หลักๆก็ใช้มือนี่แหละ แต่ต่างกันว่าใช้ส่วนไหน มีตั้งแต่
- อุ้งนิ้ว (finger pulp) : มักเป็นอุ้งนิ้วชี้ถูวนเป็นวงกลม (circular motion) หรือถูแนวนอน นึกถึงการลบ eye make up ท่านี้เลย (นี่เป็นเหตุผลที่หมอเลิกเขียน eyeliner และแต่งรอบตาในชีวิตประจำวัน ต้องถูตาตัวเองทุกวันไม่น่าดี)
- ปลายนิ้ว (Finger nails) : น้องสาวหมอสมัยเด็กๆ คันตามากขนแหวกเปลือกตาออกแล้วเอาเล็บเกา บอกหายคันเร็วดี แบบนี้เสี่ยงเป็นกระจกตาถลอกได้เลย
- ข้อนิ้ว (knuckle) ส่วนใหญ่น่าจะทำวิธีนี้
- นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ของมือเดียวกัน (นิ้วโป้งในตาข้างหนึ่ง อีกข้างเป็นนิ้วชี้) ข้างที่ใช้นิ้วโป้งโดนแรงกดเยอะกว่า
- ฝ่ามือ (palm) : แบบเอาศอกตั้งไว้บนโต๊ะแล้วเอาหน้าพัก โดยส่วนตากดลงไป เหมือนมือท้าวคาง แค่เป็นตาแทน
ยิ่งใช้ส่วนที่แข็งและใหญ่ ดวงตาก็โดนแรงกดเยอะ ผลเสียก็มากตาม
เป็นต้นว่าใช้ปลายนิ้วชี้ขยี้ แรงกดน้อยกว่าคนที่ใช้ฝ่ามือขยี้
นอกจากการขยี้ตาด้วยส่วนต่างๆของมือแล้ว “ท่านอนคว่ำหรือนอนตะแคงแล้วเอาตากดหมอน“ ก็ส่งผลเหมือนกับการขยี้ตาเลย ตาถูกกดอยู่แบบนั้นทั้งคืน ผลอาจจะแย่กว่าขยี้ตาอีกนะ
ตาที่ถูกกดไว้นานระหว่างนอน (chronic ocular compression) ทำให้อุณหภูมิกระจกตาตรงที่ถูกกดเพิ่มขึ้น มีกระจกตาบวม ทำให้กระจกตาไวต่อการเปลี่ยนรูปจากการขยี้มากขึ้น อย่าลืมว่าตาที่จุ่มลงไปในหมอน แหล่งกักเก็บสารก่อภูมิแพ้ชั้นดีทำให้ภูมิแพ้กำเริบ เพิ่มความอยากขยี้ตาไปอีก
ตอนรู้เรื่องนี้ครั้งแรกหมอถึงขั้นว้าว นอนผิดท่า และไม่ขยันซักผ้าปูที่นอนปลอกหมอนส่งผลได้ขนาดนี้


3. โรคตาที่เป็นสาเหตุขยี้ตาที่พบได้บ่อย
***1. ภูมิแพ้เยื่อตา (atopy or allergies)***
เรียกว่าถ้ามีอาการคันมาเป็นอาการเด่น รอบตาดูคล้ำ ร่วมกับมีประวัติภูมิแพ้ด้วยแล้ว นึกถึงอันดับแรกเลย โดยเฉพาะในคนไข้อายุน้อยหรือวัยรุ่น
เวลาคัน จะมีสารที่ชื่อว่า histamine ออกมา คนไข้ภูมิแพ้ขึ้นตาที่ไม่รักษาให้เหมาะสมจะเข้าลูป “คัน-ขยี้-คัน” วนไป


2. มีสิ่งกระตุ้นเข้าตา (irritant)
เช่น ฝุ่นเยอะ คลอรีนในสระว่ายน้ำ เอายาหมดอายุมาหยอดตา ทำให้ระคายเคือง ขยี้สักหน่อย
3. ตาแห้ง
อาการตาแห้งมาได้หลากหลาย แสบ คัน เคือง ไม่สบายตา ขยี้ตาทำให้มีน้ำตาออกมาเพิ่มขึ้น คนไข้เลยชอบทำ
4. ขอบเปลือกตา/เปลือกตาอักเสบ/ต่อมไขมันอุดตัน
(blepharitis/ dermaitits/ meibomian gland dysfunction)
โรคของบริเวณรอบดวงตาอักเสบ เห็นว่าเปลือกตาดูแดง มีขุยเหมือนรังแค คัน เคืองตรงที่อักเสบ เจอได้ในทุกเพศและวัย
5. Digital eye strain
เพ่งเยอะ ล้า ตาแห้ง ในคนวัยทำงานเกิดจากสาเหตุนี้ได้บ่อย ใช้หน้าจอทั้งวัน
6. การใส่คอนแทคเลนส์
ในคนที่ใส่ไปนานๆ มีการเกิดภูมิแพ้ที่เยื่อตาเรียก giant papillary conjunctivitis (GPC) ทำให้คันมากได้
7. ไม่มีโรค แต่ชอบทำเพราะรู้สึกดี
ตรวจตาแล้วเจอกี่สาเหตุก็รักษาให้ครบ จะได้หยุดขยี้
4. ผลเสียของการขยี้ตา
- การติดเชื้อที่รอบดวงตา เช่น เยื่อตา เปลือกตาหรือตากุ้งยิงได้ (conjunctivitis, blepharitis, hordeolum)
เด็กเล็กตาแดงติดกันง่าย ก็เพราะแบบนี้ เล่นกันมือสกปรก เอามือขยี้ตา
- เกิดแผลถลอกที่กระจกตา (corneal abrasion)
ยิ่งถ้ามีสิ่งแปลกปลอมเข้าตาแล้วขยี้ด้วยนะ หมอเห็นถลอกเป็นเส้นตรงยาวๆตามแนวสิ่งแปลกปลอมเลยทีเดียว
- เลือดออกใต้เยื่อตา (subconjunctival hemorrhage)
เส้นเลือดที่เยื่อตาเล็กและฉีกขาดง่าย โดนแรงขยี้หน่อยแตกแล้ว




- โรคกระจกตาโก่ง (keratoconus)***
การขยี้ตาทั้งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิด และทำให้โรคเป็นมากขึ้น ซึ่งคนไข้ส่วนใหญ่ถามย้อนไป เป็นคนขยี้ตาเก่งทุกคน


- เพิ่มความดันตา
คิดง่ายๆว่าการขยี้ตาเหมือนเป็นการบีบลูกโป่งชั่วคราว ตอนบีบลูกโป่งก็ตึง แรงดันสูง ดังนั้น คนเป็นโรคต้อหินอยู่ขยี้ตาไม่ดีแน่ๆ เหมือนเราเป็นคนทำให้ความดันตาสูงเอง ทั้งที่เรารักษาให้ความดันตาลง
- ค่าสายตาสั้นหรือเอียงเพิ่มขึ้น
ความโค้งกระจกตาผิดรูป ค่าสายตาเลยเปลี่ยน
- หนังตาตก (ptosis)
กล้ามเนื้อยกเปลือกตาที่มาเกาะตรงเปลือกตาหลุดออกจากจุดเกาะ
- เปลือกตาเหี่ยวย่น รอยคล้ำใต้ตา (wrinkle and line)
เล่าเหตุผลนี้ให้สาวๆฟัง เลิกขยี้ตาได้ง่ายๆเลย กลัวไม่สวย
9. หลังขยี้ตามัวอาจจะชั่วคราว เพราะกระจกตาเปลี่ยนรูป
10. แผลผ่าตัดมีปัญหา กรณีผ่าตัดตามา เช่น หลังผ่าตัดต้อกระจก หรือเลสิค
ขยี้ตาตอนแผลยังไม่ติดดี มีโอกาสแผลกระจกตารั่วได้ในต้อกระจก หรือฝากระจกตาของเลสิคเคลื่อนหรือย่นได้ ส่งผลให้ต้องผ่าตัดซ้ำ
จะเห็นว่าผลส่วนใหญ่เกิดกับลูกตาส่วนหน้า (anterior segment) แต่มีรายงานหนึ่งที่หมออ่านแล้วก็ตกใจคือ มีกลุ่มคุณหมอรายงานเคสคนไข้ที่มองไม่ชัด ขั้วประสาทตาคล้ายเป็นต้อหิน ความดันตาตอนตรวจปกติ
ตรวจสาเหตุอื่นปกติ ไม่เจอสาเหตุอธิบายได้ นอกจากภรรยาคนไข้บอกคนไข้มีพฤติกรรมการขยี้ตารุนแรงวันละมากกว่า 10 ชั่วโมง ทำมามากกว่า 10 ปี คุณหมอจึงคิดว่าระหว่างขยี้ตา ทำให้ความดันลูกตาขึ้น ความเสียหายเลยคล้ายคนเป็นต้อหิน ผลคือเส้นประสาทตาเสียทั้งสองข้าง
5. แล้วทำยังไงถึงจะไม่ขยี้ตา
ก็ไปตรวจหาสาเหตุโรคตาที่ทำให้รู้สึกคัน เคือง แล้วรักษา
เทคนิคในการเลี่ยงขยี้ตา
1.จัดท่านอนใหม่
อย่างที่เล่าไปตอนต้นว่าท่านอนที่ไม่ดี ส่งผลกับลูกตาได้เหมือนการขยี้ตา ท่านอนหงายปลอดภัยกับลูกตาที่สุด ตาไม่โดนกด ถ้านอนตะแคงไม่เอาหน้าโดนหมอน ไม่นอนคว่ำ
2. รักษาภูมิแพ้เยื่อตา ควบคุมไม่ให้กำเริบ
- ประคบเย็น
- หยอดน้ำตาเทียม
- เลี่ยงฝุ่นหรือสิ่งกระตุ้น (allergen) ที่ทำให้แพ้
- ใส่แว่นป้องกัน
- ไม่ล้างตาด้วยน้ำประปา ถ้าจำเป็นใช้น้ำเกลือสะอาด
- ไม่เอามือมาจับรอบตาถ้าไม่จำเป็น
- eye make up หรือเครื่องสำอางค์รอบตาใช้แบบที่โอกาสแพ้น้อย ทิ้งใน 3-6 เดือนหลังเปิด
3. รักษาตาแห้ง
เริ่มต้นด้วยการหยอดน้ำตาเทียม อาจจะเอาไปแช่เย็น ทำให้รู้สึกสบายตาขึ้น
4. รักษาเปลือกตาอักเสบ
- ทำความสะอาดเปลือกตา (eyelid hygeine)
- cleansing solution เฉพาะสำหรับคนเป็นต่อมไขมันอุดตัน เปลือกตาอักเสบ
- ประคบอุ่น


5. ทำให้บ้านสะอาด
- เปลี่ยนปลอกหมอน ผ้าปูเตียงบ่อยๆ
- ซักผ้าปูเตียงด้วยน้ำร้อน
- น้องหมาที่นอนด้วยกัน
6. ใช้หน้าจอแต่พอเหมาะ (ลด computer eye strain)
- ใช้หน้าจอให้ไม่ทรมานดวงตา เมื่อยก็พัก ล้าก็เลิก
- ปรับสีและความสว่างหน้าจอให้สบาย จัดตำแหน่งจอให้มองลง ใช้ anti-glare screen
- หลักการ 20/20/20


การขยี้ตาแบบที่พอทำได้ ถ้าจะทำให้ถูเบาๆที่บริเวณรอบเบ้าตาแทน คิ้ว แก้มด้านบน
ใครอ่านจบแล้ว หมอชมว่าเก่งมากๆ 🙏🎉🥳 สิ่งที่อยากให้ได้กลับไปคือรู้ถึงผลเสียจองมันจนไม่กล้าขยี้ตากันอีก ถ้าจะทำก็ขอให้เป็นการลูบเปลือกตาเบาๆแทน
อยากเล่าของตัวเองเลยว่าเด็กจนโต หมอเองก็เป็นภูมิแพ้ขึ้นตา ขยี้ตาบ่อย ส่วนที่ใช้คือข้อนิ้ว จนมาเรียนหมอตา ส่งตรวจความโค้งกระจกตาตัวเองดู มีกระจกตาเหมือนโก่งหน่อยๆ คล้ายจะเป็น keratoconus ได้ (OMG!) ตอนนั้นคิดว่าไม่นะ เป็นหมอกระจกตาจะมาเป็นโรคนี้เลยได้ไง จังหวะนั้นพอดีกับไม่อยากมาถูตาลบ eyeliner ตัวเองทุกวัน (เอาเวลาไปนอนดีกว่า) เลยหยุดขยี้ตา และเลิกเขียน eyeliner
ตรวจติดตามตัวเองไปทุกปี (ตอนนี้ก็ยังตรวจ) ความโค้งกระจกตาก็นิ่ง จนพอมานั่งนึกย้อนดู ความโค้งกระจกตาที่ดูน่าสงสัยของตัวเองอาจจะเกิดจากที่เราขยี้ตาบ่อยๆ เรียกว่าโชคดีที่หยุดขยี้ ไม่งั้นอาจจะเป็นโรคมากขึ้นก็ได้


เห็นใครใกล้ตัวขยี้ตา ดึงมือออกมาเลย อย่าให้เขาทำร้ายตัวเอง
นั่นก็หมายความว่า โรคภูมิแพ้ ต้องใส่ใจกว่าที่คิด ควบคุมโรคได้ดี การขยี้ตาก็ลดลง
สำหรับพ่อแม่ต้องคอยสังเกตลูกด้วยว่าขยี้ตาหรือเปล่า ถ้าทำบ่อยๆรีบพามาตรวจหาสาเหตุ
ขยี้ตา น่ากลัวกว่าที่คิด ไม่ควรทำจนติด เพราะทำแค่วันละนิด นานวันไปกระจกตาโก่งเลย
เหมือนหมอจะเขียนแล้วดูน่ากลัวเกินจริง แค่ขยี้ตาเองนะ เป็นได้ขนาดนี้เลยหรอ ต้องบอกว่าหมอเจอคนไข้จริงมาแล้วหลายเคส เลยอยากมาเตือน ถ้าเป็นโรคที่ป้องกันได้ง่ายขนาดนี้ รู้ไว้ไม่เสียหาย
เพราะอยากให้ทุกคนมีสุขภาพตาดี มองเห็นชัดเจน