หมอตาประจำตระกูล
หมอเองนะสงสัยมานาน สำหรับประโยคขายของในวงการแพทย์ที่ว่า ดูแลเหมือนคนในครอบครัวนะ วัดกันยังไง
คิดว่าได้คำตอบให้ตัวเองแล้วละ อย่างน้อยก็สำหรับตัวเองในวันนี้
Indicator ที่บอกว่าดูแลเหมือนคนในครอบครัวอย่างหนึ่ง คือการได้ดูแลตาให้ครอบครัวของคนไข้และ extended family ที่มาจากการแนะนำต่อๆกันมา
เมื่อวานนี้มีคนไข้รายหนึ่ง (หมอเรียกคุณAแล้วกัน) มาตรวจติดตาม ผ่าต้อกระจกไปแล้วสองข้างแล้วหลายปีก่อน มองเห็นได้ชัดเจนดี ตอนนี้หูตึงและความจำเริ่มไม่ดี ลูกสาวที่ดูแลเป็นคนพามา
ก่อนออกจากห้องตรวจ ลูกสาวบอกว่า
“วันนี้มีคุณ B ที่นามสกุลเดียวกันมาตรวจด้วย คิวท้ายๆ เพิ่งผ่าตัดต้อกระจกกับคุณหมอไปไม่นาน”
“อ้อ หมอจำได้ค่ะ เห็นว่านามสกุลเดียวกัน เป็นญาติกันหรอคะ”
(แต่ก่อนเคยทักคนไข้ที่นามสกุลเดียวกัน แล้วหน้าแตกหลายรอบ หลังๆเลยเลิกทัก คนที่นามสกุลซ้ำกันแต่ไม่รู้จักกันก็เยอะ)
“คุณ B เป็นน้องชายของคนไข้ค่ะ ทางนี้เป็นคนแนะนำให้คุณอาให้มาหาคุณหมอเอง”
คุณ B ตอนมาตรวจครั้งแรก เอาประวัติจากอีกรพ ขอย้ายมาตรวจ ปรึกษาผ่าตัดต้อกระจกตั้งแต่เจอกันครั้งแรก หมอเองก็ไม่ได้เอะใจว่าทำไมมาแล้วตัดสินใจทำเลย อยากได้คิวเร็ว รวมถึงภรรยาของคนไข้ด้วย บอกว่าให้สามีทำก่อน แล้วตัวเองคิวต่อไปเลย (คนไข้ขอทำผ่าตัดนอกเวลา ไม่อยากรอคิวทั้งคู่)
ตอนนี้รู้แล้วว่าทำไม
จะว่าไป คุณ A ที่เป็นพี่ชาย หมอจำได้แม่นเลย วันนั้น (ของหลายปีก่อน) รับปรึกษาเคสให้ผ่าตัดแก้ไขเย็บเลนส์เข้ากับตาขาว การผ่าตัดต้อกระจกครั้งแรก ผ่าตัดโดยคุณหมออีกท่านยังไม่ได้ใส่เลนส์ เพราะระหว่างผ่าตัดครั้งแรกคนไข้รู้สึกแต่ตัวไม่ค่อยร่วมมือ ทำต่อไม่ปลอดภัย เลยได้หยุดก่อน
[Reflection 1] คนไข้ไม่ร่วมมือระหว่างผ่าตัด ทำให้ผ่าตัดไม่เรียบร้อยในครั้งนั้นได้ ของรายนี้ถุงหุ้มเลนส์ฉีกขาด ยังใส่เลนส์ไม่ได้ แต่สามารถแก้ไขภายหลังได้ ใครที่เจอแบบนี้ไม่ต้องกังวลไป
หมอวางแผนผ่าตัดตาข้างหนึ่งเป็นการเย็บเลนส์แก้วตาเทียมที่ตาขาว (scleral fixation IOL) อีกข้างเป็นผ่าตัดต้อกระจกปกติ ควรต้องรีบทำเพราะเป็นต้อสุกแล้ว วางแผนผ่าตัดตาให้ทั้งสองข้าง แบบดมยาสลบในวันเดียวกัน (คนไข้หูตึง และมีประวัติไม่ร่วมมือระหว่างผ่าตัด)
การผ่าตัดเรียบร้อยดี วันถัดมาคนไข้เห็นได้ชัดมากแบบที่ไม่เคยเห็น (VA 20/30 สองข้าง) จากนั่งรถเข็นมา เป็นเดินกลับบ้านเองได้ ดีใจมากกันทั้งครอบครัว
[Reflection 2] ตอนเขียนบทความนี้ ก็ทำให้คิดได้ว่าหลายครั้งหมอเองก็ลืมที่จะมีความสุขและ be grateful กับงานของตัวเอง โดยเฉพาะเวลาที่ยุ่งๆ (เพราะสิ่งนี้เป็นเรื่องปกติที่เจอทุกวันจนกลายเป็นความเคยชิน)
แล้วอีก 2 สัปดาห์หลังผ่าตัด หมอก็หายไปหนึ่งปี
ตอนจะผ่าตัดให้ บอกคนไข้ก่อนแล้วว่าจะไม่อยู่ 1 ปี หมอให้ทางเลือกระหว่างหมอผ่าตัดเอง หรือส่งให้หมอท่านอื่นดูแลต่อให้ คนไข้บอกคุณหมอผ่าตัดเลย ผลจะเป็นยังไงก็รับได้ หมอขอบคุณที่ไว้ใจนะคะ ปกติจะไม่อยากผ่าถ้าจะไม่ได้ดูต่อ
กลับมาจากลาศึกษาต่อต่างประเทศ ตอนเจอครั้งแรกหลังกลับมาทำงาน คุณ A เดินเข้าห้องแล้วพูดว่าขอบคุณหมอมากๆ ขอบคุณที่ช่วยให้มองเห็นอีกครั้ง ลูกสาวชมว่าคุณหมอเก่งมาก
ตอนนั้นยังไม่ได้เปิดประวัติดู นึกว่าคนไข้ใหม่ หมอจำคนไข้ไม่ได้เลยแปลกใจว่าทำไม ถึงขอบคุณเยอะ
(จะว่าไปหมอเจอคนไข้ 3 ครั้ง คือวันที่รับปรึกษา วันผ่าตัด และดูหลังผ่าเสร็จ 1 วัน เลยจำไม่ได้ในครั้งแรกเหมือนคนไข้ที่เจอมาหลายปี)
จนลูกสาวบอกว่า คุณหมอผ่าสองตาให้พร้อมกันก่อนไปเรียนต่อ
เอ๊ะ มีด้วยหรอ ไม่น่านะ (เพราะปกติแล้วไม่ทำแบบนั้น)
เปิดดูประวัติ จริงด้วย ตอนที่ดูรายงานผ่าตัด เหตุการณ์ระหว่างผ่าตัดก็ flashback ขึ้นมา
[Reflection 3] คนไข้จำหมอผ่าตัดได้ แม้ว่าหมอจะจำคนไข้ไม่ได้ก็ตาม โดยเฉพาะเวลาที่ผลการรักษาดีมากๆ หรือแย่มากๆ (คนไข้ที่รู้สึกแย่มากๆ จะบ่นถึงหมอคนก่อนให้ฟังตั้งแต่เข้าห้อง พร้อมบอกชื่อเลย หมอเคยเจอ สตั๊นไป 5วิก่อน เอาไงดีนะ)
เรื่องนี้ทำให้หมอนึกถึงปีที่ลาเรียน ตอนไปอยู่กับ Prof. Karp ที่ Bascom Palmer Eye Institute
ในห้องตรวจ คนไข้มาตรวจติดตามหลังผ่าตัด ตรวจตานะไม่นาน แต่คุยกันเรื่องอื่นๆนาน คนไข้ถามถึงAdam ลูกของ Prof. Karp ว่าเป็นยังไง ตอนนี้เรียนที่ไหน … Karp ถามถึงสมาชิกคนอื่นว่าเป็นยังไงบ้างพร้อมมีของฝากจากสมาชิกอีกคนฝากมาให้ คือ medical condition จัดการหมดแล้ว มีแต่ social condition ไม่ได้ไปตรวจคนอื่นต่อสักที
แรกๆ ยอมรับเลยว่าหมอเองก็คิดว่าแทนที่จะมัวเสียเวลาคุย ทำไมถึงไม่รีบตรวจคนต่อไป จะได้ไม่เลิกงานช้า
เล่า background ก่อนว่าในวันออกตรวจ แม้ว่า Karp จะเริ่มตรวจ 7.30 แต่เลิก 19.00 แทบทุกวัน เป็นหมอที่เสร็จคลินิคคนสุดท้ายของแผนก cornea แต่คนไข้ก็ยังรอตรวจ และไม่บ่นเลยสักคน แถม Karp เองก็ไม่ได้รีบตรวจ มีความสุขดี
จนตอนตรวจเสร็จ Karp เล่าว่าคนนี้ ในครอบครัวคนไข้ มารักษาโรคกระจกตาเสื่อม (Fuch endothelial dystrophy) กันหลายคน ตั้งแต่ แม่ พ่อ ลุง อา คนไข้เลยมอง Karp เป็นเหมือนเป็นหมอตาประจำตระกูลคนคุ้นเคยที่เจอกันมานาน
ตอนนั้นหมอเพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นาน (เมื่อเทียบกับ Karp ที่ทำงานมา 30ปี) เห็นเหตุการณ์แบบนี้ทุกสัปดาห์ ทำให้เริ่มมีมุมมองใหม่กับการใช้เวลากับคนไข้นอกเหนือจากแง่มุมทางการแพทย์ รู้สึกว่าอยากเป็นหมอที่ทำงานไปนานๆแล้วมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนไข้แบบนี้
ประสบการณ์ที่เจอทั้งปี ได้ฝังเมล็ดพันธ์ุของการดูแลคนไข้ในระยะยาวไว้ในใจของหมอตา young staff (ในวัยนั้น) คนหนึ่งที่ทำงานมาไม่นาน
เหตุการณ์ที่เล่ามา ตอนนั้น reflect ออกมาได้แบบนี้ และทำให้หลังกลับมาจากเรียนต่อ กลายเป็นหมอที่ใส่ใจกับรายละเอียดในแง่ของความเป็นคนมากขึ้น ผลดีก็เกิดกับหมอและคนไข้ ที่แน่ๆคือหมอทำงานได้มีความสุขยิ่งขึ้น
ผลที่ตามมาคือ หมอมีเรื่องที่ได้จากการออกตรวจแต่ละวันมาเขียนเล่าอยู่เรื่อยๆ แต่ละวันมีเรื่องใหม่ ที่ถ้าไม่เขียนออกมา จะมีเรื่องอื่นเข้ามาต่อแล้ว เรื่องเดิมก็หมดอารมณ์ที่จะเขียนออกมา
จะว่าไปการเขียนเพจเลยเปรียบเหมือนบันทึกชีวิตการทำงานของหมอไปด้วย
ต้องบอกว่า Prof. Karp เป็นคนทางโลกตะวันตก ที่มีมุมของโลกตะวันออกมากกว่าปกติ
เพื่อน research fellow ในทีมอย่างน้อย 3 คนที่เคยไปอยู่มาหลาย center บอกว่า Karp เป็น the warmest, the sweetest professor การที่ยุ้ยได้มาอยู่กับ Prof ต่างประเทศครั้งแรกและคนแรก ได้เจอKarp ถือว่าโชคดีมากๆ
(ไว้วันหลังจะเขียนเล่าว่าทำไมถึงเลือกมาอยู่กับ Karp)
ระยะหลัง หมอมีคนไข้ที่เป็นครอบครัวแนะนำต่อๆกันมาหลายคน เช่น แม่ทำต้อกระจก ลูกมาทำเลสิคหรือ ลูกมาทำเลสิค พาพ่อมาตรวจสุขภาพตา ทำต้อเนื้อ เพื่อนแม่มาปรึกษาปัญหาโรคตาอื่นต่อ ยิ่งถ้าที่มศว ได้ดูคนไข้โรคกระจกตาด้วยแล้ว (หมอที่ทำงานมีน้อย) เรียกว่าโซนนั้น ถ้าคนบ้านใกล้กันเปลี่ยนกระจกตา มีโอกาสเป็นคนไข้หมอได้สูงมาก
ปีก่อนเจอคนไข้บอกว่าคนแถวบ้านมาเปลี่ยนกระจกตากับหมอมาแล้วหลายคน
หรือว่าเราจะทำงานมานาน (แก่ขึ้นนั่นแหละ) จนมีคนไข้สะสมแล้วนั่นเอง ไม่ได้บอกต่ออะไรหรอก
แต่ก็นะ เมื่อไหร่ที่คนไข้ใหม่เดินเข้าห้อง และแนะนำตัวว่ามีคนแนะนำให้มาหา มันก็ทำให้เรายิ้มอยู่ในใจว่าสิ่งที่เราทำ หลักการที่เรายึดถือ มันคงถูกต้องแล้วแหละ
และก็เป็นข้อสรุปของประโยคด้านบนที่ว่า
“Indicator ที่บอกว่าดูแลเหมือนคนในครอบครัวอย่างหนึ่ง คือการได้ดูแลตาให้สมาชิกในครอบครัวของคนไข้และ extended family ที่มาจากการแนะนำต่อๆกันมา”
สั้นๆคือ บอกกันปากต่อปาก นั่นเอง
นี่แหละ หมอตาแบบที่เราจะเป็น
หมอยุ้ย